Welcome to Elite-ssc ทีมออนไลน์ เบอร์ 1 ที่ออกแบบมาเพื่อสนับสุนเพื่อนๆ ที่ทำธุรกิจ Join&Coin


Elite-ssc คือ ทีมออนไลน์ เบอร์ 1 ที่ออกแบบมาเพื่อสนับสุนเพื่อนๆ ที่ทำธุรกิจ Join&Coin เพื่อนำเสนอแนวทางในการทำการตลาดบนโลกออนไลน์ที่ถูกต้อง

ที่ไม่ใช่การไป Tag การไป spam จนเกิดความรำคาญให้แก่ผู้อื่น ไม่ว่าเพื่อนๆ จะเป็นใครมีความรู้มาก่อนหรือไม่ เพราะที่นี่เรามีผู้เชี่ยวชาญด้านการทำการตลาดออนไลน์ ที่จะมาสอนให้เพื่อนๆ ทำการตลาดอย่างถูกต้องแบบ Step by Step และเรามีระบบในการทำการตลาดออนไลน์ที่พร้อมที่สุดบนโลกออนไลน์เพื่อสนับสนุนในการทำธุรกิจ Join&Coin อย่างเต็มประสิทธิภาพ.

25/3/61

ช่องทาง ธุรกิจเครือข่าย

ธุรกิจเครือข่าย


                     ลิขสิทธิ์ทางปปัญญาอีกทางหนึ่งที่คนส่วนมากไม่เข้าใจจริงๆ และมักมองข้าม คือ Network Marketing ซึ่งใช้เงินลงทุนน้อยมาก แต่สามารถใช้ปัญญาในการสร้างทรัพย์สิน และสร้าง Passive ที่ Massive
                  
                     ถ้าให้ผมพูดแบบตรงไปตรงมา สำหรับพนักงานประจำ ธุรกิจนี้แทบจะเป็นทางเลือกเเดียวที่ทำให้คุณมี Financial Freedom ได้ง่ายที่สุดและเร็วที่สุด

คนส่วนใหญ่ไม่ชอบธุรกิจเครือข่ายเพราะธุรกิจนี้มีคนรู้จักเยอะ 
แต่มีคนรู้จริงน้อยมากถึงมากที่สุด

         
                       ผมเคยคิดนะครับว่าธุรกิจนี้เป็นการขายของ ต้องง้อ ตื้อ สาธิตสินค้า เป็นธุรกิจเล็กๆของคนที่ไม่มีอะไรทำ ถ้าทำแล้งต้องเสียเพื่อน เสียชื่อเสียง ฯลฯ
                       
                        อย่างที่บอกครับว่าธุรกิจนี้คนรู้จักเยอะ แต่คนรู้จริงน้อย(มาก) คำถาม แล้วจะรู้ได้ไงว่าใครรู้จัก ใครรู้จริง ง่ายมากครับดูกันที่ผลลัพธ์
                       คนที่รู้จัก จะไม่มีผลลัพธ์ ส่วนคนรู้จิง มีผลลัพธ์  ถ้าคุณเจอคนรู้จัก คุณอาจเข้าใจว่านี่คือธุรกิจเล็กๆ หาผู้บริโภค และนักขาย แตาถ้าคุณเจอคนรู้จริง คุณจะได้รู้วิธีสร้าง Passive ตั้งแต่ 5-8 หลักต่อเดือน   ผมเชื่อว่าไม่มีใครที่เข้าใจธุรกิจนี้ตั้งแต่แรก ไม่มีใครหรอกที่โตมาแล้วอยากเป็นธุรกิจเครือข่าย

                       ผมได้มารู้ทีหลังว่า มันมีวิธีการทำที่ไม่ใช่การตื้อขายของแบบที่ผมรู้มา และที่สำคัญธุรกิจนี้ทำให้เกษียณได้ไวที่สุดในบรรดาทุกธุรกิจและทุกการลงทุนที่ผมเคยทำ (ย้ำอีกที่ว่าต้องทำถูกที่ 
ทำถูกบรษัท  เพราะไม่ใช่ทุกที่ ที่ให้ผลลัพธ์แบบนี้ได้)

                      ในมุมนี้ผมมองว่า ยิ่งมีคนไม่ชอบ ไม่เข้าใจธุรกิจมากเท่าไหร่ แปลว่านั่นเป็นโอกาสที่ดมากเพราะถ้าใครคิดว่าดี เขาก็คงทำกันหมดละ อย่างนั้น เราก็ไม่รู้จะไปชวนใครแล้ว

                      สาเหตุที่ผู้คนมีมุมมองที่ค่อนข้างลบ กับธุรกิจนี้ ก็เพราะมันเป็น"การลงทุนที่ต่ำ"(ซึ่งจริงๆแล้วเป็นข้อดี) ค่าสมัครไม่กี่ร้อย ไม่จำกัดคุณสมบัติใดๆ ประวัติส่วนตัวอะไรก็ไม่ต้องเช็ก ใครๆก็ทำได้การคัดกรองน้อย คนเลยเข้ามาง่าย สไตล์การทำก็หลากหลายมีทั้งมือทั้งมืออาชีพและสมัครเล่น

                     แต่นั่นแหละครับ เมื่อเขเ้าง่ายและมีคนทำเยอะ วิธีการทำก็ไม่เหมือนกัน และส่วนใหญ่ทำกันไม่เป็นเพราะยังไม่เข้าใจระบบธุรกิจนี้ดีพอ พอทำแล้วไม่สำเร็จ ก็กลับมาต่อว่าธุรกิจ นี้เพิ่มเข้าไปอีกว่าไม่เห็นจะดีจริงเลย (ทั้งที่จริงอาจจะเป็นเพราะเราไม่ตั้งใจลงมือทำน้อยไป ไม่มืออาชีพเอง)

                     ถามว่าถ้าธุรกิจนี้ต้องลงทุน 10 ล้านบาทคนที่เข้ามาจะเลิกทำไหม? เขาจะตั้งใจเรียนรู้ไหม?ผมว่าเขาจะตั้งใจสุดๆชนิดที่ว่าอย่ามาหหยุดข้าถอยไป! เครื่องจักรกำลังทำงาน!!! 555+

                    ผมเข้าใจครับว่าสิ่งที่คนเราตัดสิน ล้วนมาจากข้อมูลที่ได้รับจากอดีต ถ้าเจอธุรกิจเครือข่ายมาแบบไม่ดี ก็ไม่แปลกที่จะเข้าใจธุรกิจนี้ว่าไม่น่าสนใจ แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ธุรกิจครับ แต่อยู่ที่
"คนที่เข้าไปทำธุรกิจ"(บางคน) เพราะถ้าคุณเรียนรู้จนเข้าใจในระบบและวิธีการของธุรกิจนี้เป็นอย่างดีคุณจะไม่เป็นแบบคนที่คุณไม่ชอบเลย

                   ถ้าคุณไดลองหาข้อมูลดูจะพบว่า นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ นักเขียน โค้ช(ไม่ว่าจะในไทยหรือระดับโลก) เช่น T.Harv Eker , Jack Canfield , jim Rohn , Bill Clinton , Robert Kiyosaki , Richard Branson , Brian Tracey ทุกคนต่างสันบสนุนระบบธุรกิจเครือข่าย นั่นเองที่ทำให้ผมต้องกลับมาลองศึกษาว่าธุรกิจเครือข่ายมีดีอย่างที่พวกเขาว่าจริงๆเหรอ?

                  เดี๋ยวเรามาลองดูกันว่าธุรกิจนี้มีดีอะไร?

  • ธุรกิจนี้สามารถตอบโจทย์คุณได้ในเรื่องของอิสรภาพทางการเงิน ไม่ว่าเป้าหมายของคุณจะคือเงินจำนวนเท่าไหร่ ภายในเวลาเท่าไหร่ ที่เหลือที่คุณต้องตัดสินใจก็คือ เลือกว่าจะเป็นหุ้นส่วนกับบริษัทใดที่ทำให้เป้าหมายนั้นประสบความสำเร็จ

  • เริ่มต้นธุรกิจได้โดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลถ้าเป็นธุรกิจทั่วๆไป คุณต้องใช้เงินลงทุน ต้องสะสมเงิเนก้อนให้ได้ ถ้าไม่มีก็ต้องกู้ ถ้าธุรกิจดี ก็ดีไป ถ้าไม่ดี ก็หมดตัว แต่ธุรกิจนี้ค่าสมัครหลักร้อย แต่รายได้ไม่จำกัด ต่อให้ทำแล้วไม่ประสบความสำเร็จ ก็ยังได้ความรู้ติดตัวกลับมา

  • ให้ทักษะการทำธุรกิจที่ดีมาก โดยเฉพาะคนที่ไม่เคยทำธุรกิจมาก่อน คุณจะมีพี่เลี้ยงที่มีประสบการณ์มากกว่า คอยช่วยเหลือ ฝึกฝนคุณซึ่งธุรกิจทั่วไป คุณต้องลุยเองลำพัง และหลายครั้งก็เจ็บตัว เพราะไม่มีคนบอกในสิ่งที่คุณควรรู้

  • ขยายได้อย่างรวดเร็วแบบก้าววกระโดด(Scalability)และไม่จำกัด โดยใช้เงินและเวลาของคนอื่น ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับแฟรนไชส์อย่าง 7-11 และ Starbucks หรือจะเทียบกับ Startup ที่ประสบความสำเร็จเช่น Uber, Airbnb, Alibaba ที่เป็นการขยายโดยใชเงินคนอื่นและมีรายได้ทุกวินาที

                 ทุกธุรกิจจะมีการทำที่มีขนาดดแตกต่างกันไปไม่ว่าจะเป็นระดับ S M L XL ธุรกิจเครือข่ายก็เช่นกันครับ

              ธุรกิจเครือข่ายมีทั้งขนาดเล็กและขนานดใหญ่แต่คนส่วนมากจะรู้จักแต่วิธีการทำธุรกิจขนาด S และ M ซื้อกินซื้อใช้ ขายปลีกเป็นชิ้นๆ เพื่อรับส่วนต่างที่กำไร เพราะฉะนั้นคนอยากขาย เขาก็จะทำทุกวิถีทางให้ได้ขาย ซึ่งคนส่วนใหญ่เขาเข้าใจแบบนี้แหละครับว่าธุรกิจเครือข่ายคือต้องขายของเพื่อกินกำไร ผมก็คิดว่าไม่ผิดนะถ้าเขาชอบแบบนั้น

             แต่หลายคนไม่รู้ว่ามีวิธีอื่นที่ทำให้ธุรกิจเครือข่ายเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ได้โดยไม่ต้องขายของ
เขาก็เลยไปทำแบบเล็กๆตามๆกันไป ทั้งที่ไม่ชอบ 

            คนขายก็ไม่ชอบขาย คนถูกขายก็ไม่ชอบเหมือนกัน สุดท้ายคนเลยเหมาว่าธุรกิจแบบนี้สร้างความลำบากใจให้ทุกฝ่าย ซึ่งต้องบอกว่าน่าเสียดายครับ เพราะคน 95% ที่มาทำธุรกิจนี้ ทำกันเป็นแต่แบบเล็กๆ"คุณ"ก็เลยเห็นแต่แบบเล็กๆ

           ถ้าใครก็ตามได้มาเรียนรู้ระบบการทำธุรกิจนี้เพิ่มเติมอีกนิด เขาจะเสียดายโอกาสของการทำธุรกิจนี้มากทีเดียว สำหรับผม ผมแนะนำว่าถ้าคุณอยากมี Passive Income 5-6 หลักต่อเดือน และลงทุนต่ำคุณต้องเลือกทำแบบ L (Network Builder) และถ้าคุณอยากที่จะเกษียณ 100% มี Passive Income 7-8 หลักต่อเดือน คุณต้องขยายให้เป็นไซส์ XL (Network Provider) ซึ่งได้ไม่ยากเลย บางทีอาจจะง่ายกว่า การทำขนาน S และ M ด้วยซ้ำ

           กากรทำธุรกิจเครือข่ายไซส์ L และ XL นั้นเราจะไม่เน้นขาย แต่เราจะเน้นไปที่การขยายเครือข่าย ขยายไปจนเป็นโครงข่ายเหมือน Master Franchise ฟังดูเหมือนยาก แต่วิธีการทำง่ายนิดเดียว หลักการของมันคือมุ่งเน้นไปที่การสร้างคน (Human Asset)

           ผมจะอธิบายคร่าวๆ ถึงภาพรวมของธุรกิจนี้ให็คุณลองพิจารณาว่าดีจริงรึเปล่า เป็นช่องทาง ที่จะทำให้คุณเกษียณได้เร็วที่สุดจริงหรือไม่ ลองดูครับ


           แผนการจ่ายผลตอบแทนของธุรกิจเครือข่ายนั้นมีอยู่ 3 แบบ(คุณไม่เคยรู้มาก่อนใช่ไหม? นี่แหละครับที่ผมบอกว่าคนรู้จริงมีน้อยมากๆๆๆๆ ) ดังนี้
  1. Stair Step
  2. Binary
  3. Unilevel
       
           อาจมีบางบริษัทที่นำไปปรับให้ดูแตกต่างเพิ่มรายละเอียดขึ้นมาบ้างนิดหน่อย แต่โดยพื้นฐานแล้วจะมาจาก 3 แผนนี้เท่านั้นครับ ซึ่งแผนที่จะทำให้คุณเกษียณได้อย่างสมบูรณ์แบบคือ แบบที่ 3 Unilevel

           ย้อนกลับไปในอดีต ระบบขายตรงจะเน้นการขาย เป็นโครงสร้างแบบชั้นเดียว(Single Level) คนที่ทำธุรกิจนี้เราเรียกพวกเขาว่า เซลส์แมน หรือ พนักงานขาย ต่อมามีการวางโครงสร้างให้เป็นแบบหลายชั้น(Multi Level) แต่คนส่วนใหญ่ยังใช้ความรู้แบบเดิมๆก็เลยกลายเป็นการสรา้งทีมขาย 


           ในภายหลังธุรกิจเครือข่ายก็ยังคงเป็นโครงสร้างแบบหลายชั้น แต่เริ่มมีรายได้แบบ Passive Income แล้วครับ เริ่มมีความรู้ในการทำขนาด L และ XL แต่คนที่มีรายได้ 6-8 หลักยังมีไม่เยอะ แต่ก็เริ่มดึงดูดคนที่ Profile ดีๆ เข้ามาร่วมธุรกิจได้บ้างแล้ว

            และในปัจุบันธุรกิจจี้ถือว่าสมบูรณ์แบบมาก สามารถสร้าง Passive Income ได้แล้ว มีระบบและความรู้ที่เสถียรบวกกับมีคนที่แชประสบความสำเร็จแล้วมากมาย

           เพราะฉะนั้นหากอยากมีรายได้แบบ Passive Income จากธุรกิจเครือข่าย ก็ต้องไปเรียนรู้วิธีขยายให้เป็นแบบ Multi Level ไม่ใช่ Single Level และต้องทำไซส์ L กับ XL เท่านั้น

         ผมไม่ได้บอกว่า Single Level ไม่ดีนะถ้าคุณชอบ แต่ถ้าหากต้องการอิสรภาพทางการเงินต้องทำแบบ Network Builder และ Network Provider เท่านั้น

       จำไว้นะครับว่า ถ้าอยากเกษียณ ต้องเน้น "ขยาย" ไม่ใช่ "ขาย" เพราะถึงจะแตกต่างกันแค่ ย.ยักษ์ตัวเดียวแต่ผลลัพธ์นั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง



        เคล็ดลับที่จะประสบความสำเร็จมีเพียงวิธีเดียวเท่านั้น ถ้าคุณอย่างรูว่าคืออะไรเดี๋ยวผมจะบอกให้นั้นก็คือ "คุณต้องช่วยให้คนของคุณสำเร็จครับ เขาได้ คุณก็ได้ มีแค่นี้เอง สั้นๆง่ายๆ

  
       สิ่งที่น่ายกย่องของ Model ธุรกิจนี้คือ คนที่คิดค้นระบบนี้ขึ้นมา  
ถ้าเขาได้เร็ว เราก็ได้เร็ว ถ้าเขาได้มาก เราก็ได้มาก ถ้าเขาได้ล้าน เราก็ได้ล้าน แต่ถ้าเขาไม่ได้
เราก็ไม่สมควรจะได้ แค่นี้แหละครับหัวใจของธุรกิจเครือข่ายมีเพียงเท่านี้จริงๆ เป็นอะไรที่ผมชอบมากๆ เพราะไม่มีธุรกิจไหนที่ Win Win จริงๆ 100% ที่สำคัญคนอื่นต้อง Win ก่อน เราค่อย Win ผมถึงได้บอกไงครับว่ารู้จักกับรู้จริงนั้นต่างกันราวฟ้ากับเหว


         ที่ผมทำได้เพราะ ผมมีทีมงานที่ดีคอยช่วย คอยสอน และผมก็ช่วนทีมงานต่อเช่นกัน ธุรกิจนี้จึงโตแบบยกกำลัง ผมจะยกตัวอย่างให้ดู สมมติเราหา Partner สร้างทีมงาน 5 คน เดือนต่อมาทีมงาน 5 คนของเราก็สร้างทีมงานมาอีก 5 คนไปเรื่อยๆโดยที่เราไม่ต้องสร้างแล้วนะครับและไม่ต้องขายของแม้แต่ชิ้นเดียวตัวเลขจะเป็นแบบนี้

เดือนหรือปีที่                               จำนวนคน
         1                                               5        
         2                                             25        
         3                                           125        
         4                                           625        
         5                                        3,125        
       รวม                                      3,905        
             นี่แค่เราสร้างทีมงานมาแค่ 5 คนนะแต่ยอดรวมทีมทั้งหมดของเรายังมีมากมายถึง 3,905 คนและที่สำคัญมันยังโตต่อไปเรื่อยๆแม้ว่าคุณจะหยุดได้แล้วก็ตาม

         
            ถ้ามีคนถามว่า "ผมอยากมีรายได้เดือนละ 1 ล้านบาทภายใน 3-5 ปี และที่สำคัญเงินทุนมีไม่เยอะ" ผมขอตอบเลยว่ามีเพียงทางเลือกเดียวที่จะทำได้ก็คือ คุณต้องทำ"ธุรกิจเครือข่าาย"เท่านั้น
ไม่ใช่ว่าวิธีการสร้าง Passive Income ในแบบอื่นๆมันทำเงินล้านไม่ได้นะครับ มันทำได้แต่ต้องใช้เงินลงทุนสูงมาก และที่สำคัญใช้เวลานานกว่า 5 ปีอย่างแน่นอน

            ฉะนั้นถ้า"โจทย์"ของคุณคือเกษียณเร็ว ภายในเวลารวดเร็ว ลงทุนต่ำ ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากธุรกิจเครือข่ายเท่านั้นครับ แต่มีข้อแม้ว่า ต้องถูกที่ ถูกบริษัทเท่านั้น เพราะแตละบริษัทมีระบบการจ่ายผลตอบแทนที่ไม่เหมือนกัน บางที่ไม่มีแผนสร้าง Passive Income ด้วยซ้ำ

           ถ้าอย่างนั้น จะเลือกอย่างไรล่ะ?
           ผมต้องบอกก่อนว่า ไม่มีบริษัทไหนดีที่สุด มีแต่บริษัทไหนตอบโจทย์ของคุณได้มากที่สุดต่างหาก เพราะฉะนั้น คุณต้องมีเป้าหมายก่อนว่า ต้องการรายได้เท่าไหร่ ภายในเวลาเมื่อไหร่ แล้วค่อยไปดูว่าบริษัทไหนให้ได้แบบนี้ โดยเลือกบริษัทที่ให้ผลลัพธ์ตรงความต้องการของเรา หรือง่ายกว่านั้นก็คือ ให้ดูคนที่เขาทำบริษัทนั้นมาก่อนคุณว่าเขาได้ผลลัพธ์แบบที่เราอยากได้มั๊ย? แล้วค่อยมาพิจารณาว่าบริษัทนั้นมี Vision และ Logic ที่ดีหรือไม่?

       
           เมื่อเจอบริษัทที่ตอบโจทย์แล้ว ให้ปรึกษาคนที่เขาสำเร็จแล้ว ได้ผลลัพธ์แล้ว เขาจะแนะนำ ให้คุณสำเร็จได้เพราะเขาว่ายถึงฝั่งแล้ว

          อย่างไรก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่ผมอยากฝากไว้ก็คือ ในยุคที่เศรษฐกิจไม่ค่อยดี ทุกครั้งที่เกิดสภาวะแบบนี้ สิ่งที่มักจะเกิด ขึ้นตามมาเสมอก็คือ Money Game ที่สร้างความเสียหาย ทำให้ผู้คนหลงเชื่อ ต้องสูญเสียเงินเป็นจำนวนมาก เพราะความรู้เทเ่าไม่ถึงการณ์ เพราะ Money Game จะคล้ายกับโมเดลของธุรกิจเครือข่าย เมื่อหลายคนหลงเข้าไปทำ ในที่สุดก็ต้องเสียเงิน ทำให้เกิดการเหมารวมว่า นี่ไง! โดนธุรกิจเครือข่ายหลอก

          ถ้าเป็นธุรกิจเครือข่าย เขาจะมีรูปแบบการทำธุรกิจและหารายได้ออกแบบไว้ระยะยาวนานมาก
แต่ถ้าเป็น Money Game รูปแบบและแผนการทำธุรกิจ จะดูไม่ออกเลยว่าจะยั่งยืนไปได้นานได้อย่างไรจึงเน้นที่ค่าแรกเข้าเป็นจำนวนเงินสูงมาก แต่กลับไม่เน้นบริโภคระยะยาว
          ถ้าเป็นธุรกิจเครือข่าย จะมีสินค้าที่มีคุณภาพอยู่ในแผนธุรกิจแต่ถ้าเป็น Money Game จะไม่มีสินค้าที่จับต้องได้เลย หรือถ้ามี ก็ดูเลื่อนลอย ไม่น่าไว้วางใจ


          วิธีที่คุณจะตรวจสอบได้ดีมากๆก็คือ

  • ดูว่ามีการรับรองโดยสมาคม TDSA(สมาคมขายตรงแห่งประเทศไทย) , สคบ.(สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค) หรือเปล่า? ถ้าบริษัทไหนมี แปลว่าถูกตรวจสอบและรับรองแล้วว่าทำธุรกิจในรูปแบบที่ถูกต้องตามกฏหมาย
  • ถ้าถอดแผนการจ่ายผลตอบแทนทิ้งไป สินค้าหรือบริการนั้นๆ มีความต้องการจริงรึเปล่า มีคนอยากกินอยากใช้จริวหรือเปล่า?
  • รายได้ของ Money Game จะเน้นการลงทุนแรกเข้าเป็นหลักไม่เน้นระยะยาว
  • Money Game มักจะแซงกันไม่ได้คนมาหลังทำให้คนมาก่อน




          ในทีมงานของผม มีคนมีรายได้แบบ Passive อยู่หลายคนทั้งในและต่างประเทศ ทั้งหทดนี้ไม่ใช่เพราะผมเก่งเลย แต่เป็นเพราะเขาอยู่บน Platform เดัยวกันกับผม ต่างจากหุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์ เพราะไม่สามารถทำผลลัพธ์ให้เหมือนกันได้ เพราะคนละ Platform เช่น ถือหุ้นคนละตัว มีคนโดกันคนละสถานที่ ต่อให้ สอนดีแค่ไหน ผลลัพธืก็ไม่มีทางเหมือนกันครับ

          ผมอยากบอกว่านี่คือธุรกิจยุคใหม่ รู้มั๊ยครับว่าธุรกิจธุรกิจของผมนั้นมียอกขายเกิน 1,000ล้านบาท/ปี(ยังโตได้อีกเรื่อยๆ) แต่ไม่ต้องสต็อกสินค้าไม่มีเงินกู้ ไม่มีค่าใช้จ่ายคงที่ทุกเดือน ไม่มีพนักงาน มรรายได้แบบวัน/วัน ไม่มีหนี้เสีย

         นี่คือยุคของ Access ไม่ใช่ยุคของ Ownership อีกต่อไป ธุรกิจของผมไม่ต่องอะไรกับ Airbnb, Agoda, หรือ Uber ที่ได้เงินทุกวินาทีและมี Input เล็ก แต่มี Output ใหญ่ ซึ่งคนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจว่าโลกเปลี่ยนไปแล้ว ธุรกิจที่ไม่มีภาระ แต่ Return ยิ่งสูง คือธุรกิจแห่งอนาคต

          ทำไมพนักงานประจำควรศึกษาธุรกิจนี้อย่างจริงจังจากคนรู้จริง? เพราะคุณมีข้อจำกัดทั้งเรื่องของเงินและเวลาครับ Passive ทางอื่นๆต้องใช้เงินเยอะต้องใช้ 8-9 หลักเพื่อสร้าง 6-7 หลักต่อเดือน ในขณะที่ NW ใช้แค่หลักร้อย

          ธุรกิจเครือข่ายขนาด XL คือหนึ่งในสิ่งที่ทำให้ผมมี Financial Freedom ทำให้เป็นอิสระทั้งเรื่องของเงินและเวลา ทำให้ผมไรกังวลทั้งกายและใจครับ

             

ช่องทาง Startup

ช่องทางสอง Startup


                    ในยุคนี้มีใครบ้างไม่เคยได้ยินคำคำนี้ คำว่า Startup เอาไว้เรียกบริษัทเกิดใหม่ของคนรุ่นใหม่ ที่มักจะขยายตัวได้อย่างก้าวกระโด เพราะใชเทคโนโลยี เข้าช่วย 
                    โจทย์ของ Startup คือ แก้ปัญหาให้ผู้บริโภค หากใครแก้ปัญหาได้เม็ดเงินจะวิ่งเข้ามาหาอย่างมหาศาล ยิ่งยุคนี้ฌลกเปลี่ยนแปลงเร็วมาก นี่คือช่วงเวลาโอกาสทองของคนรุ่นใหม่ ที่มีความคิดใหม่ๆ ที่จะเข้ามาเลยก็ว่าได้ ผมว่าไม่มียุคไหนแล้วที่คนตัวเล็กๆจะมีโอกาสแข่งขันกับผู้ค้าดั้งเดิมรายใหญ่ๆบาง Startup ถึงขั้นล้มยักษ์ได้ก็มี เดี๋ยวผมจะยกมาสัก 1 ตัวอย่าง เป็น Startup ที่ผมคิดว่าคุณก็รู้จัก




                     เป็นแอปพลิเคชั่นสำหรับใช้เรียก Taxi ที่สะดวกมาก จนได้รับความนิยมไปทั่วโลก กำเนิดของแอปนี้เกิดจาก 2 หนุ่ม Travis Kalanick และ Garrett Camp ทั้งคู่เจอกันที่ LeWeb งานประชุมด้าน Startup ที่ปารีส ประเทศฝรั่งเศส วันนั้นทั้งสองคุยกันถึงความย่ำแย่ของบริการ Taxi ในอเมริกา แล้วคิดว่าคงจะดี ถ้ามีวิธีเรียก Taxi ที่ง่ายและสะดวกกว่านี้ และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของการคิดแอปพลิเคชั่นนี้ที่
ชื่อว่า Uber 
                    Uber กลายมาเป็น Startup ที่ประสบความสำเร็จระดับโลก มีผู้ใช้บริการเรียก Taxi มากมายมีคนสนใจนำรถของตัวเองมาเข้าร่วมให้บริารกับ Uber มากมาย เรียกได้ว่า Uber กลายเป็นเจ้าพ่อแท็กซี่ไปเลยทั้งๆที่ไม่ได้ลงทุนซื้อแท็กซี่มาวิ่งเลยสักคันเดียว
                  เขาเป็นเจ้าของกิจการแท็กซี่ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ไม่มีแท็กซี่แม้แต่คันเดียว ไม่มีต้อนทุนเรื่องการซ่อม การทำประกัน นี่ล่ะครับคือธุรกิจที่เกิดจากไอเดียล้วนๆ
                    เป็นไงครับนี่แหละที่เรียกว่าทรัพย์สินทางปัญญา แต่สิ่งหนึ่งทีุ่ณต้องรู้ก็คือก่อนที่ Startup จะปรสบความสำเร็จ พวกเขาต้องมีความอดทนสูงมาก เพราะในช่วงแรกนั้นแทบไม่มีรายได้เลย คุณต้องอดทนรอให้ผลงานได้รับความนิยม มีผู้คนเขเ้เามาใช้จำนวนมากพอเสียก่อน จึงจะเริ่มเกิดมู
ค่าและสร้างรายได้ตามมา 


                     ช่องทางการสร้าง Passive Income จากลิขสิทธิ์ทางปัญญาเป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับคนรุ่นใหม่ ลองเลือกดูครับว่ามีช่องทางไหนบ้างที่คุณชอบ ถนัด และคุณทำได้
          
ถ้าคุณมีความตั้งใจ เชื่อเถอะครับว่าความฝันที่คุณต้องการ
มันไม่ไกลเกินความสามารถหรอกครับ

<<<ย้อนกลับ        ต่อไป>>>

ช่องทาง Youtube

ช่องทางแรก Youtube



                วันนี้ Youtube เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในชีวิตของคนรุ่นใหม่ โค่นทีวีที่เคยเป็นเหมือนปัจจัยที่ 5 ของผู้คนทุกวันนี้คนไม่ค่อยได้ดูทีวีกันแล้ว แต่กันมาดู Youtube กันหมด หรือถ้าอยากดูรายการทีวีก็ดูผ่าน Youtube 

                 รู้ไหมครับ เด็กๆบางคน ทำงเินได้ปีละหลายล้านจากการถ่ายคลิปวีดีโอเล่นๆ ในชีวิตประจำวัน เล่นเกม ทำขนม หรือจัดรายการกันเองรูปแบบง่ายๆ ไม่ต้องมีโปรดักชั่นอลังการ ไม่ต้องใช้ต้นทุนสูงอะไรเลยแต่กลับทำเงินได้มหาศาล เราเรียกพวกเขาว่า Youtuber

                 รายได้จาก Youtube นั้นมีหลักๆอยู่ 2 แบบคือ
  • โฆษณา เวลาเราเปิดคลิปใน Youtube จะเห็นว่ามีโฆษณาต่างๆอยู่ในนั้น ไม่ว่าจะมาก่อน หรือเป็นแถบขึ้นระหว่างคลิป ถ้าผู้ชมคลิปของเราดูโฆษณานั้น หรือคลิ๊กเข้าไปดูทางYoutube จะคำนวนเป็นรายได้กลับมาให้เราด้วยครับ
  • แบรนด์มาขอลงโฆษณา หากช่อง Youtube ช่องไหนโด่งดัง มีคนตามมาเยอะๆ แบรนด์สินค้าต่างๆก็จะมาลงโฆษณาในช่อง ถึงแม้ราคาจะไม่สูงเท่าโฆษณาในทีวี แต่ก็ถือเป็นรายได้ที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
                หรือต่อให้ไม่มีแบรนด์สินค้าติดต่อมา Youtube ก็อาจเป็นช่องทางที่ทำให้ผู้คนเห็นคุณแล้วต่อยอด สร้างช่องทางให้คุณได้ทำอย่างอื่นเช่น ได้เป็นนักร้อง เพราะโพสต์คลิปร้องเพลงไว้ในYoutube บางคนได้เป็นพิธีกร ดารา เพราะมีคนมาเห็นคลิปสั้นๆ ที่ทำเล่นๆไว้เท่านั้นเอง
                
     เป็นไงครับ เริ่มอยากหยิบโทรศัพท์มถ่ายคลิปรึงยัง?
     ถ้าทางนี้ยังไม่ใช่เราไปดูช่องทางต่อไปกันเลยดีกว่า

ทรัย์สินทางปัญญา

ช่องทางที่ 3
 ทรัพย์สินทางปัญญา


             นี่คือข่าวดีสำหรับคนที่อยากมี Passive Income แต่ไม่อยากลงทุน หรือๆม่มีเงินลงทุน ก็สามารถทำได้ ขอแค่คุณมีปัญญาก็สามารถสร้างเม็ดเงินเข้ากระเป๋าได้เป็นจำนวนมากแล้ว

             แต่ผมต้องขอย้ำกับคุณก่อนว่าหัวใจสำคัญของการสร้าง Passive Income จากทรัพย์สินทางปัญญานั้น เราต้องออกแบบให้มันสร้างรายได้เหมือน "ห่านทองคำ" ที่ออกไขทุกวัน จำไว้นะครับว่า เราสร้าง"ห่าน"เพื่อต้องการ"ไข่"จากมัน ไม่ใช่กาสร้างห่าน แล้วเอาห่านไปขาย ถ้าเราขายงานไปแบบเป็นเงินก้อนเดียว แล้วจบ เช่น ขายลิขสิทธิ์เพลง บทหนัง บทละคร อย่างนั้นเป็น Active ไม่ใช่ Passive นะ

            เอาล่ะเรามาดูกันดีกว่า ว่ามีอะไรที่คุณทำได้บ้าง


24/3/61

ช่องทางในการสร้าง Passive Income

ช่องทางในการสร้าง Passive Income


           มาถึงในส่วนนี้นะครับ ผมจะมาแนะนำช่องทางที่จะสร้าง Passive Income ให้กับคุณ
ซึ่งจริงแล้ววิธีการสร้าง Passive นั้นมีอยู่หลายวิธี คุณไม่จำเป็นต้องทำตามทุวิธีที่ผมบอก และไม่จำเป็นเลือกทำเพียงวิธีเดียว ส่วนจะทะอะไรบ้าง ทำกี่อย่าง มันขึ้นอยู่กับโจทย์ของคุณว่า อยากได้

  1.  รายได้แบบ Passive Income เดือนละเท่าไหร่ ?
  2.  ภายในเมื่อไหร่ ?
      วันข้างหน้าคุณก็อาจปรับเปลี่ยน เพิ่ม-ลด ได้ตามความเหมาะสมในแต่ละช่วงเวลาของคุณครับ

      และสำหรับช่องในการสร้าง Passive Income ที่ผมจะบอก มีอยู่ 3ช่องทางดังนี้
  1. เงิน ต่อ เงิน (Financial Asset)
  2. อสังหาริมทรพย์
  3. ทรัพย์สินทางปัญญา
งั้นเรามาดูกันมาแต่ล่ะช่องทางมีรายละเอียดอะไรกันบ้าง



21/3/61

อสังหาริมทรัพย์

ช่องทางที่ 2
-อสังหาริมทรัพย์-


              รายได้ที่เกิดจากการถือครองอสังหาริมทรัพย์นั้นคล้ายๆ กันกับหุ้น มีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ คือ 
รายได้ที่เกิดจากการขายในราคาที่สูงกว่าตอนที่ซื้อ และรายได้ที่เกิดจากค่าเช่า


             รายได้ส่วนที่ถือว่าเป็น Passive Income จากอสังหาริมทรัพย์นั้น ต้องเป็นรายได้จากการสร้างกระแสเงินสด (Cash Flow)หมายความว่าทรัพย์สินนั้นต้องสร้างเงินไหลอย่างต่อเนื่อง ยกตัวอย่างเช่น
บ้านเช่า ที่ดินให้เช่า 
       
            ส่วนรายได้ที่เกิดจากการซื้อขายเพื่อเก็งกำไร แบบนี้ไม่ใช้ Passive Income แต่เป็น Active Income สิ่งที่สำคัญในการเลือกซื้ออสังหาริมทรัพย์ นั้นคือ "ทำเล" อสังหาที่จะสร้าง Passive Income ให้ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอนั้นต้องตั้งอยู่บน "ทำเลที่ดี"

          สงสัยมั๊ยครับว่าแล้วไอ้ทำเลที่ดี เค้าดูกันอย่างไร จริงๆแล้วเราสามารถดูได้จากหลัก 4Es ดังนี้


E ที่ 1 คือ Entertainment

ต้องเป็นแหล่งชุมชน เป็นย่านที่ค่อนค้างคึกคักเป็นศูนย์รวมของผู้คนมีคนเดินทางมายังแหล่งนี้อย่างหนาแน่นมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น ห้างสรรพสินค้า ช้อปปิ้งมอลล์ สถานบันเทิง




E ที่ 2 คือ Education

ต้องเป็นแหล่งสถาบันการศึกษา เช่น โรงเรียน มหาวิทยาลัยซึ่งจะทำให้มีผู้คนจำนวนมาเดินทางมาที่นี่เกิดเป็นศูนย์รวมของผู้คนที่กำลังเรียน หรืออยู่ในวัยศึกษา

E ที่ 3 คือ Employment


ต้องมีแหล่งจ้างงาน เช่น นิคมอุตสาหกรรม ออฟฟิต สถานที่ราชการ  ซึ่งจะทำให้มีผู้คนเดินทางมาทำงานในบริเวณนี้เป็นจำนวนมากและ เกิดเป็นสังคมขยายจากการที่ผู้คนเข้ามาพักบริเวณใกล้ๆที่ทำงานเหล่านี้








E ที่ 4 คือ Express

ต้องมีการคมนาคมที่ดี เดินทางสะดวก เช่น อยู่ในแนวทางรถไฟฟ้า หรือรถไฟใต้ดิน มีวินรถตู้มีป้ายรถประจำทาง ยิ่งสะดวกและประหยัดเวลาในการเดินทางเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีคนมาพักอาศัยบริเวณนี้มากขึ้นเท่านั้น

   



                ถ้าเรามองหาอสังหาริมทรัพย์ในโซนของ 4Es นี้ได้ ก็เท่ากับว่าเราพบอสังหาริมทรัพย์ที่มีผู้คนต้องการเข้ามาพักอาศัย ประกอบกิจการ หรือทำธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์นี้ก็จะสร้างรายได้กลับคืนมาสู่เรานั่นเอง นอกจากนี้บางทำเลยังสร้างรายได้ให้กับคุณได้อย่างเหนือความคาดหมาย แต่อย่างไรก็ตามมีเรื่องที่คุณต้องรู้ไว้อีกเรื่องคือ อสังหาริมทรัพย์นั้นมีสภาพคล่องค่อนข้างต่ำ หมายความว่าการซื้อขายนั้นไมาสามารถทำได้ง่ายๆ เช่น เมื่ออยากขายที่ดินสักแปลงหนึ่ง ก็ไม่ใช่ว่าวันสองวันจะขายได้ทันที ต้องรอเวลาสักพักใหญ่ อาจมีผู้สนใจหลายคน กว่าจะซื้อได้

                  อสังหาที่มีศักยภาพในการสร้าง Passive Income ที่สูงนั้นมักมีสภาพคล่องต่ำ ที่ดินที่สร้าง
Passive Income ที่ดีมากค่อนข้างเสถียร เราเกี่ยวข้องน้อย และสัญญาก็หลายปี ปต่วื้อขายยาก บ้านเช่า ค่าเช่าอาจถูกหน่อย แต่ปล่อยเชเ่าง่ายกว่า ซื้อขายได้คล่องกว่า

                  อีกปัจจัยที่มีผลต่ออสังหาริมทรัพย์ รองลงมาจากทำเลก็คือ "แบรนด์" ถ้าอยู่ในทำเล
เดียวกันอสังหาที่มีแบรนด์ดีกว่า เปผ้นที่ยอมรับกว่า และได้รับความไว้วางใจมากกว่า(และยิ่งราคาใกล้เคียงกัน)ก็จะมีคนสนใจมากกว่า และมีสภาพคล่องที่ดีกว่าด้วย

                  คำแนะนำในการเริ่มสำหรับพนักงานประจำคือ คุณต้องตั้งเป้าหมายก่อนว่า ต้องการรายได้
Passive Income  จากอสังหาริมทรัพย์เท่าไหร่ เพื่อจะได้รู้ว่าจะเลือกลงทุนกับทรัพย์สินประเภทใด จำนวนเท่าไหร่ แล้วจึงวางแผนลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์

                คุณอาจเริ่มจากลงทุนคอนโดสัก 1 ห้องแล้วสะสมเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆหรือขยับขยายไปเป็นบ้านตึกแถว ที่ดิน หรืออสังหาริมทรัพย์ที่ใหย่ขึ้นเรื่อยๆก็ได้ครับ

                อีกทางเลือกนึงก็คือการลงทุนใน Property Fund หรือกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีให้เลือกมากมายซึ่งนอกจากจะมีความเสี่ยงน้อยกว่าแล้วยังมีผลตอบแทนค่อนข้างสม่ำเสมอ แม้ว่าอาจจะไม่สูงเท่ากับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทรัพย์จริงๆ แต่ถ้าไม่มีประสบการณ์ ไม่อยากเสี่ยง ก็นำเงินเท่าที่เรามีไปให้มืออาชีพทำงานให้ แบบนี้ก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีมากๆทางหนึ่ง ค่อยๆสะสมไปเรื่อยๆก็จะทำให้คุณมี Financial Freedom ได้เร็วขึ้นครับ


20/3/61

เงินต่อเงิน

ช่องทางที่ 1
-เงินต่อเงิน-
(Financial Asset)


                   ถ้าจะให้อธิบายแบบง่ายๆก็คือ การใช้เงินต่อเงินนั่นเอง ซึ่งมีด้วยกันอยู่หลายวิธี ความเสี่ยงและผลตอบแทนที่ได้ก็แตกต่างกัน ส่วนมีช่องทางงอะไรบ้างนั้นผมจะจัดเรียงตั้งแต่ความเสี่ยงต่ำสุดไปจนถึงมากสุด ที่นำไปสู่ผลตอบแทนที่สูงที่สุดเช่นกัน ได้แก่
  • ฝากธนาคาร
  • พันธบัตรรัฐบาล
  • ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์
  • กองทุนรวม
  • หุ้นกู้
  • หุ้นปันผล
          เห็นช่องทางเยอะขนาดนี้ ไม่รู้จะเลืกอะไรดีเลยใช่มั๊ยครับความจริงแล้วมันดีทุกช่องทางนั่นแหละครับ แต่ช่องทางที่จะทำให้คุณหลุดพ้นไปสู่อิสรภาพได้อย่างแท้จริงนั้นและเป็นสิ่งที่ผมเลือก นั่นคือ "หุ้นปันผล"



          ที่จริงผมเองก็เป็นหนึ่งในหลายๆคนนะครับที่คิดว่าการเล่นหุ้นมีไว้สำหรับคนรวยเคยได้ยินมั๊ยคำพูดที่ว่า "คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น"นี่แหละคือสิ่งที่ผมคิดและยังมองว่า"หุ้นคือการพนัน"
ทำให้คนต้องเสียเงินจนหมดเนื้อหมดตัว

          ทำไมถึงคิดแบบนั้น? คำตอบคือ ไม่มีความรู้จริงไงครับแต่พอเวลาผ่านไป ได้ศึกษาอย่างจริงจัง มีความรู้มากขึ้นจึงทำให้ได้รู้ว่ามีคนที่เขาประสบความสำเร็จจากการเล่นหุ้นแถมไม่ใช่แบบการพนันด้วย แต่ละคนล้วนร่ำรวยอย่างมั่นคง และที่สำคัญชีวิตสุขสบายเป็นอิสระ อย่างที่หลายคนต้องการเลย


การเล่นหุ้นนั้นมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบคือ Trader และ Investor อธิบายง่ายๆ 


  • Trader นั้นจะเน้นไปที่การซื้อขายของราคาต่อหน่วยของหุ้น หากมองเห็นว่ามีกำไร Trader ก็จะทำการขายออกไปภายในเวลาเพียงไม่นาน ไม่กี่เดือน หรือ ไม่กี่วัน บางคนถึงขั้นไม่กี่นาที
  • Invester นั้นจะเน้นไปที่การถือครองไว้นานๆเหมือนเป็นการซื้อกิจการนั้นๆ แล้วเติบโตไปด้วยกัน ได้รับทั้งเงินปันผลและส่วนต่างของราคาหุ้น ส่วนใหญ่มักจะถือเก็บไว้เป็นเวลานานเกิน 1 ปีบางคนเกิน 5ปี 10ปี  20ปี หรือตลอดไปก็มี

Capital Gain & Cash Flow

           ผมอยากให้คุณเข้าใจเกี่ยวกับการมองเห็นมูลค่าของทรัพย์สินต่างๆก่อนว่า มูลค่าดังกล่าวมีด้วยกัน 2 แบบคือ Capital Gain และ Cash Flow อธิบายง่ายๆแบบนี้ครับ
         
  • Capital Gain คือการคาดหวังราคาที่เพิ่มมากขึ้นเช่น การซื้อขายที่ดินเพื่อเก็งกำไร โดยหวังว่าคนที่จะมาซื้อคนต่อไปจะให้ราคาที่สูงขึ้น นอกจากที่ดินแล้ว การเก็งกำไรทอง การเก็งกำไรหุ้น น้ำมัน ภาพวาดหรือทรัพย์สินใดๆ ที่หวังว่าซื้อมาในราคาหนึ่งแล้วจะขายในราคาที่สูงขึ้น ก็นับว่าเป็นทรัพย์สินที่ให้ Capital Gain ทั้งสิ้น

  • Cash Flow คือกระแสเงินสดที่เกิดขึ้นระหว่างที่เราถือครองทรัพย์สิน เช่น การซื้อที่ดินเพื่อให้เช่า การซื้อบ้านเพื่อให้เช่า การลงทุนหุ้นแบบปันผล พูดง่ายๆ ก็คือมองกระแสเงินสดที่ ทรัพย์สินเหล่านั้นจะสร้งกลับมาเรื่อย
   
           แล้วผมแนะนำการเล่นหุ้นแบบไหน?  Trader หรือ Investor ที่จริงแล้วมันก็ดีทั้งสองแบบนั่นแหละครับ มันขึ้นอยู่กับโจทย์ของแต่ละคนมากกว่า แต่ที่ผมเลือกและเข้ากับชีวิตอิสระ ก็คือเป็น Investor ที่ลงทุนแบบ Value Investing หรือ VI นั่นแหละครับ ที่ผมเลือกแบบVI ก็คงเพราะผมชอบที่จะมี Passive Income ถือเอาไว้แบบยาวๆ


























Step 4

Step 4 
สร้าง Passive Income ให้มากว่า Lifestyle



          แม้ว่าขั้นตอนที่ 3 จะถือว่าเรามีอิสรภาพทางการเงินแล้ว แต่มันยังไม่ถึง Lifestyle ที่เราปรารถนา
จริงๆเราต้องไปต่อกันอีกสักนิดเพื่อชีวิตที่ยอดเยี่ยมครับ

          เมื่อมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว เราจะได้เวลากลับมาเต็มๆ แต่มันยังไม่มากพอที่จะครอบคลุมทั้งวงกลมชีวิตของเรา เราไม่ได้อยากมีเงินมาแค่พอให้อยู่รอดไปได้เดือนนึงๆ เราไม่อยากประหยัดทุกอย่างเพื่อให้พอกับ Passive Income ที่มี เราไม่อยากอยู่ด้วยข้อจำกัดของเงินที่มี จึงต้องเปลี่ยน Lifestyle ชีวิต

         ย้อนกลับไปดูเป้าหมายที่เราตั้งไว้แต่แต่ต้นซิครับว่า ถ้าต้องการใช้ชีวิตแบบในฝันได้อยู่บ้านแบบที่เราอยากอยู่ ได้ขับรถในแบบที่เราอยากขับ ได้ไปทเี่ยวในที่ที่เราอยากไป ได้ดูแลคนที่เรารัก ได้ทำในทุกๆสิ่งที่อยากทำ
          Lifestyle ชีวิตแบบนั้น เราต้องมีรายได้เดือนละเท่าไร?

          ถ้าเราผ่านขั้นที่3 มาได้ เท่ากับว่าเรามีเวลาเหลิออยู่เหลือเฟือแล้ว เพราะไม่ต้องเอาเวลาไปแลกกับเงิน ผมขอให้คุณเอาเวลานี้ไปสร้าง Passive Income เพิ่มเติมเพื่อให้ชีวิตเป็นไปตาม Lifestyle ที่เราต้องการอย่างแท้จริง



       ทีนี้อยากจะรู้แล้วใช้มั๊ยครับว่า Passive Income  ที่จะทำมันช่องทางไไหนบ้างให้เราทำ
งั้นเราก็ไปต่อกันเลยดีกว่าครับ

<<<ย้อนกลับ      ต่อไป>>>

Step 3

Step 3.
 เลิกทำ Active Income เมื่อมี Passive Income มากกว่าค่าใช้จ่าย



              ในขั้นตอนี้คุณต้องพยายามเพิ่มรายได้จากฝั่งทรัพย์สินของเราให้มากขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนเพิ่ม สร้างทรัพย์สินเพิ่ม ขยายทรัพย์สินให้ใหญ่ขึ้น หรือวิธีการตามแบบของเรา แแล้วให้รายได้จากฝั่งทรัพย์สินที่เป็น Passive Income มีมากกว่ารายจ่ายของเรา โดยไม่พึ่งรายได้จาก Active Income  

              เพราะถ้าหากรายได้จาก Passive Income นั้น เพียงพอต่อรายจ่ายของเราแล้ว นั่นก็หมายคความว่าเราไม่จำเป้นต้องทำงานประจำ เราก็มีรายได้ที่มากพอต่อค่าใช้จ่ายของเราแล้ว

             ยกตัวอย่างนะครับเช่น ถ้าเรามีรายได้จากPassive Income เดือนละ 35,000 บาท ซึ่งเรามีรายจ่ายต่อเดือนอยู่ที่ 30,000 บาท นี่ก็ถือได้ว่าเรามีอิสรภาพทางการเงินแล้วครับ (เพียงแต่ว่ามันยังไม่สุดเท่านั้นเอง)

           " ทีนี้จะลาออกหรือไม่ลาออกจากงานประจำก็แล้วแต่เลยครับ" 

พอถึงขั้นตอนนี้คุณก็ได้ครบแล้วทั้งเงิน เวลา สุขภาพ 
และอิสรภาพในทุกด้าน แต่อย่าหยุดเพียงแค่นี้
ผมเชื่อว่า "ชีวิตเรายังยอดเยี่ยมได้มากกว่านี้อีกมากมาย"เลยทีเดียวเชียว


<<<ย้อนกลับ     ต่อไป>>>


Step 2

Step 2 

ยังคงทำActive Income แต่เริ่มสร้าง Passive Income

มาสมทบให้มากกว่าค่าใช้จ่าย




       ในขั้นตอนนี้นะครับ เราจะต้องทำงานประจำไปควบคู่กับการสร้างPassive Income เาจะต้องเริ่มแบ่งเวลาไปสร้างทรัพย์สินแบบที่คุณต้องการ เพื่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้นมาอีกทาง เราจะมีรายรับควบคู่กันไปทั้งจาก Active Income และ Passive Income เพื่อให้มีรายได้รวมมากกว่ารายจ่าย

       สิ่งที่สำคัญในขั้นตอนนนี้นั้นก็คือ เราจะต้องหดค่าใช้จ่ายลง หรือตัดค่าใช้จ่ายที่เกินความจำเป็นออกไป สิ่งนี้จะช่วยให้เราก้าวไปสู่อิสรภาพทางการเงินได้เร็วขึ้น
       

       ในส่วนของการทำงานประจำ เราต้องยอมทำโอทีให้น้อยลง รับงานน้อยลง หรือเปลี่ยนไปทำงานที่ทำให้มี "เวลา" เพิ่มมากขึ้นก็ได้นะครับ
       
       ทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะได้นำเงินและเวลา (หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง) เพื่อไปสร้างทรัพย์สินให้เกิดรายได้เพิ่มเข้ามา เท่านี้เราก็จะเริ่มมีรายได้ที่เกิดจาก Passive Income แล้วครับ
      
        จำเอานะครับว่า แม้ Passive Income ตอนแรกมันจะได้น้อยนิดแค่ไหนก็ตาม คุรก็ต้องเริ่มทำไม่ใช่เห็นว่ารายได้แบบ Passive Income ได้น้อยจัง รู้สึกว่าไม่คุ้มค่าก็เลยไม่ทำ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นเราจะติดคุก Active Income หรือการทำงารที่ต้องเอาแรงและเวลาไปแลกทั้งชีวิต

      ยกตัวอย่างเช่น เมื่อก่อนเราอาจมีรายได้จากงานประจำ 25,000 บาท รายได้จากค่า OT 15,000 บาท รวมเป็นรายได้ 40,000 บาทต่อเดือน มีรายจ่ายประจำอยูที่ 30,000 บาทต่อเดือน เหลือเป็นเงินเก็บ 10,000 บาท

      ระหว่างนี้เราเริ่มแบ่งเวลา เสาร์อาทิตย์ หรือหลังเลิกงานบางวันไปสร้างทรัพย์สินที่สร้างรายได้ให้เราเป็น Passive Income เดือนละ 10,000 บาท

     สมมติว่า เราไม่อยากทำ OT แล้ว เพราะอยากเพิ่มเวลาว่างๆ ทำให้รายได้จากงานประจำลดลงไปเหลือ 25,000 บาท เมื่อรวมกับรายได้จาก Passive Income อีก 10,000 บาทก็เท่ากับว่าเรามีรายได้ 35,000 บาท ซึ่งเพพียงพอต่อค่าจ่ายประจำในแต่ละเดือนของเรา คือ 30,000 บาท และยังมีเงินเหลือเก็บอีก 5,000 บาท

    ทีนี้เราก็จะมีเวลาเพิ่มขึ้น เพื่อไปสร้างทรัพย์สินเพิ่ม เพื่อให้รายได้จากทรัพย์สิน หรือจาก Passive Income เพิ่มขึ้นไปอีกครับ
     จุดนี้คือหนึ่งในจุดที่ยากที่สุดของการหลุดจากสนามแข่งหนู (Rat Race) ของงานประจำเพราะเงินเก็บของเราดูเหมือนจะลดลง รายได้ก็ดูเหมือนจะลดลง เราจึงรู้สึกไม่ปลอดภัย

     ในช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่เราเหนื่อยกว่าเดิม เพราะต้องแบ่งเวลาไปสร้าง Passive Income แถมยังต้องบีบบรายจ่ายลงมาอีก หลายคนจึงก้าวข้ามตรงจุดนี้ไปไม่ได้ สุดท้ายก็ล้มเลิกและยอมกลับไปขายวิญญาณเหมือนเดิม

     ผมเข้าใจนะครับ เพราะผมเองก็เป็นมาก่อน
 แต่ผมอยากบอกว่า คุณต้องทำด้วนความ "เข้าใจ" ไม่ใช้"อารมณ์" 

คุณต้องเข้าใจก่อนว่าที่เราทำมันอยู่ทุกวันนี้
"เราทำไปเพื่ออะไร เพื่อใคร "
แต่ถ้าเราใช้แต่อารมณ์ทำ เราจะล้มเลิกได้ทุกเมื่อ
อดทนเอาหน่อยนะครับ เพราะผลลัพธ์ที่จะได้มานั้น
"คุ้มค่าแน่นอน"












19/3/61

Step 1.

Step 1. เริ่มจากActive Income ตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น


ถ้าหากว่าวันนี้คุณเป็นActive Income แบบเต็มตัวเช่นเป็นมนุษย์เงินเดือน ลูกจ้าง
หรืออะไรก็แล้วแต่ที่"ต้องใช้แรง แลกกับเงิน" 
นั่่นเท่ากับคุณอยู่ในขั้นตอนกการเดินไปสู่อิสภาพทางการเงินแล้วครับ

ถึงตอนนี้เราจะเริ่มกันจากจุดนี้ แต่ขออะไรไว้อย่างว่า
"อย่าหยุด" อย่างพึงพอใจ อย่ายอมรับได้ในวงจรแบบนี้ 
แต่ขอให้ คุณเตรียมพร้อมที่เดินทางไปสู่อิสภาพของชีวิตด้วยกัน

แต่ตอนนี้ให้เราทำงานประจำต่อไปก่อน
คุณยังคงต้องทำงานประจำของคุณไปเหมือนเดิม
เพียงแต่ว่ามีสิ่งที่คุณต้องเตรียมเอาไว้
คือ "การตรวจสอบค่าใช้จ่ายที่จำเป็นว่ามีอะไรบ้าง"
(ย้ำอีกที่ว่าค่าใช้จ่ายที่จำเป็นนะครับ)

ให้เราลิสต์รายการต่างๆออกมาอย่างละเอียดว่า
"ในแต่ละเดือนต้องจ่ายอะไรบ้าง" 
แต่ไม่ต้องเอาเรื่องเกินความจำเป็นนะครับ
เช่น เที่ยว ซื้อโทรศัพท์ ปาร์ตี้ อะไรพวกนี้ให้เก็บเอาไว้ก่อน

จากนั้นเราก็มาเริ่มมองหาทรัพย์สินและวิธีการ
ที่จะสร้างทรพย์สินนั้นๆเพื่อมาสร้างPassive Income กัน
แล้วเดี๋ยวจากนั้นเราจะไปต่อที่ Step 2 กัน


<<<ย้อนกลับ          ต่อไป>>>

4ขั้นตอนสู่อิสรภาพทางการเงิน

ขั้นตอนที่จะพาคุณไปสู่
อิสภาพทางการเงิน หรือ Financial Freedom(FF)

ในแท้ที่จริงมีเพียงแค่4ขั้นตอนเท่านั้นเองครับ
           1.เริ่มต้นจาก Active Income เริ่มออม จำกัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น(Active Income ต้องมากกว่ารายจ่าย)
           2.ยังคงทำActive Income อยู่แต่เริ่มสร้างPassive Income มาสมทบให้มากกว่าค่าใช้จ่าย(Active Income+Passive Income >Expense)
           3.เลิกทำActive Income เมื่อPassive Income มากกว่าค่าใช้จ่ายของเรา(Passive Income >Expense)
           4.สร้าง Passive Incomeให้มากกว่า Lifestyle ที่คุณต้องการจริงๆ(Passive Income >Lifestyle)
     เพียงแค่ 4ขั้นตอนนี้คุณก็สามารถมีอิสภาพทางการเงิน และประสบความสำเร็จในชีวิต ได้อย่างแท้จริง  งั้นเดี๋ยวเรามาดูกันต่อเลยดีกว่าครับว่าแต่ละขั้นตอนมีรายละเอียดอย่างไรแล้วเราต้องทำอะไรกันบ้าง


6 เทคนิคปิดการขาย

  
นักขายหลายท่านอาจประสบปัญหาไม่สามารถปิดการขายได้ ทำให้ยอดไม่เดิน และถูกหัวหน้าเพ่งเล็ง ยิ่งเศรษฐกิจไม่ดียิ่งขายได้ยาก ท่านผู้รู้ในวงการขายแนะนำไว้ว่า ให้จับสัญญาณความพึงพอใจของลูกค้าให้ได้ เช่น เมื่อลูกค้าถามในทำนองว่า ลดได้ไหม หรือจ่ายด้วยบัตรเครดิตได้ไหม หรือสัญญาณอื่น ๆ ที่แสดงว่าลูกค้าพร้อมจะซื้อสินค้าจากคุณแล้ว ให้เริ่มหาจังหวะปิดการขายเหมาะ ๆ ซึ่งเทคนิคการปิดการขายมีดังนี้
1. เพิ่มเติมความคิดเห็นของตัวคุณเองต่อสินค้านั้นเข้าไป
          เพื่อเป็นข้อมูลให้ลูกค้าใช้ประกอบการตัดสินใจได้รวดเร็วขึ้น เช่น คุณคิดว่าสินค้าชิ้นนี้คุ้มค่าที่สุด เพราะมีหลายฟังก์ชั่นในชิ้นเดียว แถมยังทนทาน และประหยัดไฟมากกว่า วิธีการนี้คุณจะต้องทำบุคลิกให้เป็นคนที่น่าเชื่อ มีความเป็นมืออาชีพ พูดคุยกับลูกค้าแบบเพื่อนบอกเพื่อนด้วยความจริงใจ ให้ข้อมูลที่เป็นจริง ก็จะสามารถโน้มน้าวใจลูกค้าได้สำเร็จ
2. โอกาสสุดท้าย หมดแล้วหมดเลย
          เป็นเทคนิคที่จะทำให้ลูกค้ารีบตัดสินใจ เนื่องจากเป็นวันสุดท้าย ของชิ้นสุดท้าย ครั้งเดียวในรอบปีที่จะซื้อได้ในราคาลดพิเศษ หรือมีโปรโมชั่นล่อใจ จูงใจลูกค้าด้วยของแถม หรือส่วนลด เช่น ซื้อ 3 ชิ้นจ่ายในราคา 2 ชิ้น หรือ ซื้อคอนเทคเลนส์วันนี้แถมน้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ฟรี 1 ขวด เป็นต้น เพื่อย้ำให้ลูกค้าตระหนักว่าควรซื้อสินค้าในตอนนี้จะเหมาะสมที่สุด
3. ถามคำถามที่ทำให้ลูกค้าตอบ “ใช่” ไปเรื่อย ๆ
          เป็นการค่อย ๆ ตั้งคำถาม เพื่อนำไปสู่คำตอบที่ว่า สินค้าของคุณมีคุณสมบัติที่ครบถ้วนตรงตามความต้องการของลูกค้าทุกประการโดยไม่มีข้อโต้แย้ง
4. ชี้นำให้ลูกค้าเลือกว่าจะซื้อสินค้าแบบไหน
          เทคนิคการปิดการขายแบบนี้จะไม่เปิดช่องให้ลูกค้าปฏิเสธ เพราะไม่ได้ถามให้ลูกค้าเลือกว่าลูกค้าต้องการหรือไม่ แต่ให้ถามว่าต้องการแบบไหน สีอะไร ระหว่างสีนั้นกับสีนี้ และต้องการจำนวนเท่าไร กี่ชิ้นหรือกี่โหลดี
5. เร่งรัดให้ตัดสินใจ
          เมื่อเห็นว่าลูกค้าใช้เวลาเลือกสินค้าอยู่นานแล้ว และคุณยังไม่ได้รับสัญญาณซื้อใด ๆ จากลูกค้า คุณอาจใช้เทคนิคเร่งรัดนิดหน่อย โดยอาจสรุปเอาเองเลยว่าลูกค้าตกลงใจซื้อแล้ว เช่น ถามว่าจะชำระด้วยเงินสด หรือบัตรเครดิต หรือถามว่าจะให้จัดส่งของไปที่ไหน  โดยไม่จำเป็นต้องถามว่าลูกค้าต้องการซื้อหรือไม่ เพราะหากลูกค้าไม่ต้องการซื้อก็จะปฏิเสธข้อเสนอของคุณ แต่หากลูกค้าไม่ปฏิเสธก็เท่ากับว่าลูกค้าตกลงซื้อสินค้านั้น
6. ประเมินยอดที่ควรสั่งซื้อแทนลูกค้า
          เพื่อช่วยลูกค้าในการตัดสินใจ ใช้ในกรณีที่เป็นลูกค้ากันมายาวนาน คุณสามารถประเมินได้ว่าลูกค้าควรจะสั่งสินค้าในปริมาณเท่าไรจึงจะเหมาะสม โดยคุณต้องยึดผลประโยชน์ของลูกค้าเป็นเป็นที่ตั้ง เช่น บอกลูกค้าว่า ครั้งที่แล้วลูกค้าสั่งสินค้า 10 โหล ขายหมดภายใน 1 สัปดาห์ ครั้งนี้น่าจะสั่งเพิ่มเป็น 15 โหล ลูกค้าเห็นด้วยหรือไม่
          6 เทคนิคข้างต้นไม่อยากเลยใช่ไหมครับ ลองหาจังหวะปิดการขายโดยเลือกนำวิธีการที่ได้แนะนำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมตามแต่สถานการณ์และเหมาะกับสินค้าของคุณ แล้วคุณจะพบว่า ปิดการขายง่ายนิดเดียว

เคล็ดลับในการทำธุรกิจเครือข่ายให้ประสบความสำเร็จ


เคล็ดลับในการทำธุรกิจเครือข่ายให้ประสบความสำเร็จ มีดังนี้
1. การเลือกบริษัทที่จะเข้าร่วมหุ้นส่วนเพื่อทำธุรกิจเครือข่าย  มีหลักในการเลือก ผมได้ค้นคว้า
     อ่านหนังสือหลายๆ เล่ม หลักการคล้ายๆ กัน และมีเล่มหนึ่งมาจากคำพูดของมหาเศรษฐี
     พันล้าน ชื่อ เจ.พอลเกตตี้ เขากล่าวไว้ว่า……
       คนจะสำเร็จในชีวิต แบบไร้กังวลต้องมี 6 ประการ
        1.เป็นเจ้าของกิจการ (สร้างระบบ)
        2.กิจการนั้นต้องเป็นสินค้าที่ทุกคนต้องใช้
        3.สินค้านั้นต้องมีการประกันคุณภาพ
        4.มีบริการที่ดี  ล้ำยุคทันสมัย
        5.ให้รางวัลเฉพาะคนที่ทำงาน มีคุณธรรม ยุติธรรม
        6.ต้องสร้างความสำเร็จโดยการช่วยเหลือผู้อื่นให้สำเร็จ
.
ฉะนั้นถ้าเราจะตัดสินใจทำธุรกิจกับบริษัทอะไร ควรเอา 6 อย่างนี้
มาประกอบเป็นเกณ์การตัดสินได้เป็นอย่างดีครับ
.
.
2. พัฒนาการใช้เครื่องมือเทคโนโลยี่ที่ทันยุคทันสมัย  การใช้เครื่องมือสื่อออนไลน์ในการ
     ทำงานที่สะดวกรวดเร็ว  และให้ใช้เครื่องมือทำงานแทนเราให้มากที่สุด
.
.
3. มีระบบสร้างผู้นำที่ชัดเจน  ที่ทุกๆ คนทำตามได้ง่าย  และมีระบบการสอนถ่ายทอดผู้อื่น
     ทำตามได้ง่าย      เพราะผู้นำเท่านั้นที่จะสำเร็จในโลกธุรกิจเครือข่าย
.
.
4. วิธีการทำงานต้องง่าย  เหมือนกับไม่ได้ทำงาน   ต้องทำให้เป็นวิถีชีวิตที่เป็นไปอย่าง
     ธรรมชาติของมนุษย์โดยไม่รู้สึกตัวว่ากำลังทำงานอยู่   เราต้องเข้าใจและลึกซึ่งกับคนครับ
.
.
5. ต้องเป็นความจริงที่สามารถดูรายละเอียดและพิสูจน์ได้ ด้วยตัวท่านเอง อย่างง่ายๆ
    ไม่ซับซ้อน  คลุมเครือ  เข้าใจง่าย  โปร่งใส  ไม่ปิดบัง หรือหมกเม็ดแอบแฝงอยู่

เทคนิคการทำธุรกิจเครือข่าย


  1. ตัวคุณเอง คุณในฐานะเจ้าของธุรกิจ เพราะถ้าคุณรู้ว่าคุณเป็นเจ้าของธุรกิจ คุณเป็นคนสร้างธุรกิจด้วยตัวคุณเอง ไม่ฝากธุรกิจไว้กับใคร คุณจะทำทุกอย่างเหมือนที่เจ้าของบริษัททำ คุณจะตั้งใจเรียนรู้ ลงมือทำ หาวิธีการต่างๆเพื่อให้คุณและทีมงานประสบความสำเร็จ คุณจะไม่กลัวความยากลำบาก ทนต่อคำปฏิเสธ เรียนรู้จากความล้มเหลว มีทัศนคติของผู้ชนะ (Winning Attitude) และพร้อมที่จะลุกขึ้นมาใหม่ได้เสมอๆ
  2. ความเป็นผู้นำ ธุรกิจเครือข่ายเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก ไม่ว่าคุณจะสร้างธุรกิจแบบออนไลน์หรือออฟไลน์ก็ตาม หากคุณเป็นผู้นำตัวจริง ผู้คนจะตามคุณ หากไม่ใช่ ผู้คนก็จะถอยห่าง การเป็นแบบอย่าง การสร้างสายสัมพันธ์เป็นสิ่งจำเป็นต่อการสร้างทีมอย่างยิ่ง ทั้งนี้ความเป็นผู้นำที่สำคัญในธุรกิจเครือข่ายไม่ใช่การสั่งงานตามสายการบังคับบัญชา แต่หมายถึงการให้ การเป็นแบบอย่าง การสอนงาน ให้ความรู้ และความอยากให้ผู้อื่นประสบความสำเร็จด้วยความจริงใจ เพราะเมื่อใดก็ตามที่เกิดความแคลงใจว่าคุณกำลังต้องการผลประโยชน์จากเขาเพียงฝ่ายเดียว ความเป็นผู้นำของคุณก็จะสูญสิ้นไป
  3. ทีมที่คุณเข้่าร่วม อย่าลืมว่าเมื่อคุณเริ่มต้นธุรกิจเครือข่ายนั้น คุณยังทำอะไรไม่เป็น บริษัทธุรกิจเครือข่ายส่วนใหญ่จะไม่สอนวิธีการดำเนินธุรกิจให้คุณ แต่ทีมที่พาคุณเข้าธุรกิจจะเป็นผู้ที่คอยสอนงาน และแนะนำวิธีการทำงานให้คุณ หากคุณร่วมกับทีมที่มีความซื่อสัตย์ พยายามสร้างความสำเร็จให้คนในทีม มีแนวคิดการทำงานแบบคนฝั่งขวา ก็คือการสร้างระบบ ให้เกิดการเลียบแบบทำซ้ำได้จริง มีระบบการเรียนการสอนเสมือนโรงเรียนสอนธุรกิจ ก็จะทำให้คุณและคนของคุณทำงานเริ่มต้นได้อย่างถูกต้อง ไม่หลงทาง
  4. อย่าคิดเติบโตทางลัด คิดเสมอว่าคุณกำลังสร้าง Passive Income นั่นก็คือการสร้างกระแสเงินสดในระยะยาว ในธุรกิจเครือข่ายนั้น สิ่งที่คุณกำลังลงทุนสร้างก็คือผู้คนที่คุณสร้างคุณค่าให้ และพัฒนาทักษะของเขาให้เป็นผู้นำ และมีระบบเทรนนิ่งให้พวกเขาสามารถสร้างผู้นำรุ่นต่อๆไปได้ ซึ่งต้องใช้เวลา หาใช่ยอดธุรกิจหรือยอดขายสินค้าที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราวหากไม่มีผู้นำ นักธุรกิจเครือข่ายหลายคนหลงในกระแสอยากสำเร็จเร็ว ขึ้นตำแหน่งเร็วจากแรงโมติเวทสร้างยอดธุรกิจ สุดท้ายก็ต้องสต็อกสินค้าเต็มบ้าน หรือซ้ำร้ายก็ยุให้ดาวน์ไลน์ซื้อของเยอะๆ เสียความสัมพันธ์ ทำให้กระแสเงินสดติดลบ เป็นหนี้ ขาดทุนเจ็บปวดจากธุรกิจ และรังเกียจธุรกิจเครือข่ายไป
  5. รักการเรียนรู้และพัฒนาตัวเอง ความรู้เป็นสิ่งที่จำเป็นต่อธุรกิจทุกประเภท ไม่มีเจ้าของธุรกิจคนไหนที่ไม่มีความรู้ในสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ เจ้าของธุรกิจที่มีความรู้และการฝึกฝนมากกว่า ก็ย่อมมีความชำนาญ และมีความสามารถในการปรับใช้ความรู้นั้นกับธุรกิจของตน การเรียนรู้ การรักการอ่าน ช่วยเรื่องของแนวคิด การทีมีแนวคิดที่ถูกต้อง คุณย่อมสามารถถ่ายทอดแนวคิดปลูกฝังลงในองค์กรเครือข่ายของคุณได้ ดังนั่น การเรียนการพัฒนาตัวเองจะช่วยให้คุณและธุรกิจของคุณไม่อยู่นิ่ง มีความก้าวหน้าเสมอๆ
  6. เทคโนโลยี ธุรกิจเครือข่ายเป็นธุรกิจที่เกิดขึ้นมานาน ในโลกนี้มีการพัฒนาด้านการตลาดใหม่ๆมากมาย แต่ในโลกธุรกิจเครือข่าย กลับมีการพัฒนาช้ามาก การทำธุรกิจเครือข่ายมักได้รับการสอนจากอัพไลน์รุ่นก่อนๆต่อเนื่องกันมา การทำธุรกิจยังเป็นแบบ Old School เช่นเดิม นักธุรกิจเครือข่ายกว่า 99 % ไม่มีความรู้เรื่องการตลาด จริงๆแล้วนักธุรกิจเครือข่ายชั้นนำในโลกนี้รุ่นใหม่ๆ ใช้วิธีการที่เรียกว่า New School ที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ต่างใช้การตลาดที่เรียกว่า Attraction Marketing หรือการตลาดดึงดูด โดยการใช้เทคโนโลยีออนไลน์เป็นเครื่องมือในการทำตลาด เพียงแต่คุณต้องกล้าเรียนรู้ กล้าเปลี่ยนแปลงกับสิ่งใหม่ๆเท่านั้น
  7. หากคุณสามารถสร้างรายได้จากธุรกิจเครือข่ายแล้ว อย่าลืมว่า การสร้างกระแสเงินสดที่เป็น Passive Income นั้นไม่ได้มีเพียงธุรกิจเครือข่ายเพียงอย่างเดียว คุณควรศึกษาหาความรู้การสร้าง Passive Income แบบอื่นๆด้วย มีนักธุรกิจเครือข่ายที่ประสบความสำเร็จในโลกนี้หลายท่าน สามารถนำกระแสเงินสดที่เกิดจากธุรกิจเครือข่าย ไปต่อยอดสร้างกระแสเงินสดจากการลงทุนอื่นๆ หรือผันตัวเองจาก B (Business Owner) ไปเป็น I (Investor) ได้ ไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์ หุ้น พันธบัตร และสามารถจัด Portfolio ให้เหมาะสมกับความเสี่ยงในช่วงเวลาที่เหมาะสมได้
แต่เมื่อใดก็ตามที่คุณสามารถสร้าง Passive Income จากธุรกิจเครือข่ายได้จำนวนมากพอ ที่สร้างกระแสเงินสดให้คุณไม่มีวันหมดสิ้น เมื่อนั้น คุณก็สามารถลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมากขึ้นได้ (High Risk, High Return) ซึ่งต่างกับการลงทุนด้วยเงินเก็บของคุณที่คุณเก็บหอมรอมริบไว้จาการทำงาน ซึ่งหากพลาดไปก็เป็นการยากที่คุณจะสามารถรับความเสี่ยงได้

18/3/61

สนามแข่งหนู

  • "สนามแข่งหนู" กลายเป็นวลีเรียกขานสถานการณ์ของการดิ้นรนทางการเงิน ของบรรดา "ลูกจ้าง" (ซึ่งไม่มีวันรวย) ได้อย่างสะใจ และดูเหมือนจะเป็นที่ "รู้กัน" ของบรรดาแฟนพันธุ์แท้ "พ่อรวยสอนลูก" ซึ่งเปรียบวังวนแห่งการเป็นลูกจ้างเหมือนสาละวนวิ่งไปอย่างไร้จุดหมายด้วยอาการตะเกียกตะกายของ"หนู" เพื่อหาหนทางหลุดพ้นความคับข้องใจจากการทำงานรับเงินเดือนไปวันๆ
  • หนีให้พ้นจาก สนามแข่งหนู หรือหลุดออกจากการ "อยู่ได้" ด้วยเงินเดือนประจำ จากการเป็นลูกจ้าง (ตลอดชาติ) เพื่อก้าวสู่ทางด่วนของการลงทุน จึงเป็นเป้าหมายแรกของ "คนอยากรวย" ซึ่งถูกคิดค้นขึ้นตามคอนเซ็ปท์หนังสือ "พ่อรวยสอนลูก" ของ โรเบิร์ต คิโยซากิ และ ชารอน เลคเตอร์
  • ในการเรียนรู้ว่า "เงิน 4 ด้าน" ตามความหมายที่คุณโรเบิร์ต และคุณชารอน บอกไว้ในหนังสือ "พ่อรวยสอนลูก" นั้นคืออะไร และยังเป็นเครื่องมือในการสอนให้ผู้เล่นรู้จัก การทำบัญชีส่วนตัว รู้ซึ้งถึงคำว่า หนี้สิน และ ทรัพย์สิน และวิธี "ทำเงิน" แบบคนรวย
  • "คนรวย ไม่ได้ ทำงานเพื่อเงิน แต่ใช้เงินทำงาน" นี่คือคำสอนของ พ่อรวย และ ทำไมต้องออกจาก "สนามแข่งหนู" ก่อนไปขึ้น "ทางด่วน"
  • "พ่อรวย" ของ คิโยซากิ บอกว่า "คนไม่มีทรัพย์สิน....ไม่มีวันพรุ่งนี้" ...แน่นอนว่าหากคุณไม่ยอมเจียดเงินที่มีอยู่เพื่อไปสร้างสินทรัพย์ในระยะยาว รายได้จากสินทรัพย์ก็ย่อมไม่เกิด รอรับรายได้จากเงินเดือนเพียงอย่างเดียว คำตอบก็คือคุณไม่มีวันก้าวขึ้น "ทางด่วน"
  • พ่อรวยสอนว่า "ต้องหา รายได้จากทรัพย์สิน ซึ่งต้องเริ่มต้นด้วยการใช้เวลาสร้างทรัพย์สิน และเพิ่ม รายได้จากทรัพย์สิน เช่น กำไร เงินปันผล หรือ รายได้ในระยะยาว"
  • นี่คือเส้นทาง "ทำเงิน" ของเศรษฐี ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงหลักคิดเรื่อง "เงินสี่ด้าน"
  • พ่อรวย บอกว่าในโลกนี้มีคน 4 ประเภท ถ้าเราทำงานกินเงินเดือน เราก็เป็น ลูกจ้าง หรือ E- Employee ถ้าเรามีธุรกิจส่วนตัวแต่ต้องทำเองเกือบทั้งหมด เราก็อยูในกลุ่ม S-Self Employed ถ้ารายได้มาจากการลงทุน เราก็คือ "นักลงทุน" I-Investor และถ้ารายได้เกิดจากการเป็น เจ้าของกิจการ ก็คือกลุ่ม B-Business Owner
  • เขาบอกว่าเราทุกคนต้องยืนอยู่ด้านใดด้านหนึ่งของ เงินสี่ด้าน ขึ้นอยู่กับว่าเงินของเรามาจากไหน และในคนหนึ่งๆ อาจจะเป็นได้หลายชนิด
  • "พ่อรวย"บอกว่าทั้ง 4 ด้านสามารถก้าวสู่ความเป็น อิสระทางการเงิน ได้ทั้งสิ้น แต่ความรู้ความชำนาญจากการเป็น "เจ้าของกิจการ " และ "นักลงทุน" จะช่วยให้คุณก้าวสู่เป้าหมายเร็วขึ้น
  • ในโลกสี่แบบของคนสี่ประเภท "พ่อรวย" บอกว่า เพียงแค่รายได้จากการเป็น ลูกจ้าง หรือ ทำ ธุรกิจส่วนตัว เล็กๆ ซึ่งคุณต้องลงแรงเองนั้นไม่เพียงพอเสียแล้วสำหรับคนที่ต้องก้าวสู่ อิสรภาพทางการเงิน คุณต้องฉลาดกว่านั้น ซึ่งก็คือก้าวไปสู่การเป็น เจ้าของกิจการ หรือ นักลงทุน เพื่อที่จะ "ใช้เงินทำงาน" แทนตัวคุณ
  • กุญแจสำคัญที่ทำให้ทุกคนออกจาก "สนามแข่งหนู" ได้ ไม่ใช่ "เงินบนหน้าตัก" ที่อาจได้มาเพราะโชคช่วย หรือ ลงทุนถูกต้องถูกตัว แต่รายได้ที่เข้ามาต้องสม่ำเสมอจนครอบคลุมค่าใช้จ่ายต่อเดือนต่างหาก ที่จะบอกว่าคุณหลุดพ้น สนามแข่งหนู เพื่อไปตามล่าหาฝันบน "ทางด่วน" ได้ จากนั้นก็ต้องต่อสู้กับสถานการณ์ ด้วยไหวพริบ และ ความฉลาดในการจัดการเงินทอง 
  • ถ้าอ้างอิงจาก พ่อรวยสอนลูก ก็ต้องใช้คำว่า "เงินมองไม่เห็นด้วยสายตา แต่เห็นจากสมอง" อย่าดูที่ทรัพย์สิน เช่น บ้าน อสังหา แต่ต้องเห็นไปถึง โอกาสในการสร้างรายได้ของมัน หรืออัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ของมัน
  • พ่อรวย บอกว่า เงินเป็นเพียงความคิด และถ้าเราอยู่ในเกม ก็ต้องเรียนรู้ที่จะเล่น เกมการเงิน ที่ถูกต้อง
  • จะเริ่มต้นอย่างไรดี ...เรื่องนี้ พ่อรวย บอกว่า "อย่าผลีผลาม" สองขาดีกว่าขาเดียว นอกจากจะเป็น ลูกจ้าง หรือคนทำ ธุรกิจส่วนตัว แล้ว เราควรต้องเริ่มต้นศึกษารู้เรื่องการลงทุน และการเป็น เจ้าของกิจการ เพิ่มขึ้นด้วย อย่าผลีผลามกระโดดจากการเป็น ลูกจ้าง ไปทำ ธุรกิจส่วนตัว เพราะมีความเสี่ยงมาก
  • "พ่อรวย" บอกว่าต้องเริ่มต้นจาก "ก้าวเด็ก"
    เช่น ก็ต้องทำงานกินเงินเดือนไปด้วย และลงทุนใน ตลาดหลักทรัพย์ ตราสารหนี้ กองทุนรวม หรือ ซื้อ อสังหาริมทรัพย์ เพื่อการลงทุนไปพร้อมๆ กัน
  • หลักเบื้องต้นก็คือถ้าคุณยังมีเงินสดในมือไม่มาก ก็ควรเริ่มต้นจาก "โอกาสเล็ก" เพื่อรอเวลาสั่งสม และพัฒนา ความฉลาดทางการเงิน ของตัวเองขึ้นมา
  • หลุดจาก สนามแข่งหนู คือเป้าหมายแรก .....เมื่อคุณสร้างสินทรัพย์จนทำให้รายได้จากสินทรัพย์ที่มี ครอบคลุมค่าใช้จ่ายต่อเดือนได้เมื่อไร แสดงว่าคุณพร้อมที่จะขึ้น "ทางด่วน"
  • ตรงทางด่วนนี่เอง...ที่ผู้เล่นจะสามารถลงทุนใน กิจการส่วนตัว ได้ และปัจจัยสู่ความสำเร็จที่สำคัญของ การเล่นในวงนอกก็คือ ความสามารถในการควบคุม "กระแสเงินสด" ซึ่งจะนำไปสู่ ชัยชนะ